การฝังยาคุมกำเนิดคือหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ได้รับความนิยมมาก ขั้นตอนการคุมกำเนิดง่ายดายไม่ซับซ้อนเหมือนการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานหลายปี โดยที่ไม่ต้องทำการคุมกำเนิดแบบรายครั้งเหมือนการสวมถุงยางอนามัย อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเหมือนการทานยาคุมกำเนิดที่จะต้องรับประทานตามเวลาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีโอกาสพลาดได้ง่ายมาก ถ้าใครกลัวสามารถเข้ามาอ่าน รีวิวการฝังยาคุมกำเนิดฟรี ฉบับนักศึกษา เพื่อให้สบายใจขึ้นได้เลย
ยาฝังคุมกำเนิด
ยาฝังคุมกำเนิด (Implant contraception) เป็นตัวยาที่ใช้ในการป้องกันการคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิง ประสิทธิภาพในการป้องกันสามารถอยู่ได้นานหลายปี ตั้งแต่ 3 – 5 ปี หลอดยาคุมจะบรรจุฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) ฮอร์โมนชนิดนี้จะช่วยการยับยั้งไม่ให้เกิดการเจริญเติบโตของไข่ อีกทั้งยังทำให้ปากมดลูกเหนียวจนอสุจิไม่สามารถผ่านเข้าไป เมื่อไม่มีการผสมกันระหว่างไข่กับน้ำเชื้อจึงป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ประสิทธิภาพในการป้องกันของการฝังยาคุมกำเนิด
วิธีที่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีที่สุดในปัจจุบันนี้คงหนีไม่พ้นการฝังยาคุม เพราะมีโอกาสเสี่ยงเพียง 0.05% เท่านั้น เทียบแล้วจะมีโอกาส 1 ใน 2,000 คนที่จะเกิดความผิดพลาดจนมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ เช่น การทำหมันในขาย การทำหมันในหญิง การสวมถุงยางอนามัย การใส่ห่วงอนามัย การฉีดยาคุม หรือการรับประทานยาคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดแบบอื่นที่ป้องกันได้ดีรองลงมาคือ การทำหมันชาย วิธีนี้จะป้องกันได้มาก มีโอกาสผิดพลาดเพียง 0.1 – 0.15% แต่เทียบกันแล้วยังด้อยกว่าการคุมกำเนิดแบบฝังมาก หากต้องการคุมกำเนิดจริงๆ การคุมกำเนิดแบบฝังจะปลอดภัยที่สุด
ขั้นตอนการฝังยาคุม
การฝังยาคุมทำได้โดยการฝังหลอดยาคุมเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณแขน แพทย์จะทำรอยขนาดเล็กไว้บนท้องแขนของผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด ส่วนใหญ่ทำการฝังยาคุมตรงด้านในท้องแขนข้างที่ไม่ถนัด มีการเช็ดทำความสะอาดผิวหนังเพื่อฆ่าเชื้อ ฉีดยาชา แล้วจึงเปิดแผลเล็กๆ แล้วนำแท่งหลอดยาฝังเข้าไป จากนั้นปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ใครที่อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องของการคุมกำเนิดว่ามีกี่วิธีแบบไหนดีสุด สามารถอ่านได้ที่ : 6 วิธี “คุมกำเนิด” แบบไหนดีที่สุด?
เมื่อเราฝังยาคุมเรียบร้อยแล้ว หลอดยาคุมจะปล่อยตัวฮอร์โมนออกมาช้าๆ ตัวยาจะเข้าสู้กระแสเลือดเพื่อช่วยป้องกันและยับยั้งไม่ให้เกิดการผสมกันของไข่และเชื้ออสุจิ จึงช่วยคุมกำเนิดได้เป็นอย่างได้ดี ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หลังจากครบกำหนดเวลาแล้วก็ถอดยาคุมออกได้ทันที หรือจะถอดยาช้ากว่าปกติก็ทำได้ เพียงแต่ระหว่างนี้ตัวยาจะไม่มีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดต่อก็เท่านั้น แต่ถ้าต้องการคุมกำเนิดต่อก็ให้ถอดหลอดยาคุมเก่าออก แล้วแจ้งแพทย์ให้ฝังยาคุมหลอดใหม่ได้ต่อเลย