การเสริมหน้าอกหรือการทำนมนั้น เป็นวิธีการผ่าตัดที่ทำได้โดยใส่ถุงซิลิโคนหรือถุงน้ำเกลือเข้าไปที่ใต้หน้าอก ผลลัพธ์ที่ได้คือขนาดของหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น รูปร่างของหน้าอกที่สวยงามและเท่ากัน รวมถึงช่องอกที่ชัดเจนกว่าเดิม ส่งผลให้มีความมั่นใจในรูปร่างมากยิ่งขึ้นนั้นเองและจะทำยังไงล่ะเรามาดูข้อที่ควรรู้ก่อนจะตัดสินใจเสริมหน้าอก
ใครบ้างที่สามารถทำหน้าอกให้เราได้
การเสริมหน้าอกอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อความสวยความงามหรือเป็นการทำหน้าอกภายหลังการผ่าตัดเต้านมในผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมก็ได้
การเสริมหน้าอกเพื่อความงามนั้นมีข้อกำหนดอายุของผู้เข้ารับการเสริม เนื่องจากขนาดหน้าอกของผู้หญิงจะยังสามารถเพิ่มขึ้นได้จนถึงช่วงวัยรุ่นตอนปลายหรือประมาณอายุ 20 ปีต้น ๆ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกากำหนดผู้ที่เสริมหน้าอกด้วยการใช้ถุงน้ำเกลือได้ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ส่วนการเสริมหน้าอกประเภทใช้ถุงเจลซิลิโคนต้องมีอายุ 22 ปีขึ้นไป
สำหรับการผ่าตัดเสริมสร้างหน้าอกในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่จำเป็นต้องตัดเต้านมออกไป เพื่อให้กลับมามีหน้าอกทั้ง 2 ข้างเป็นปกติจะไม่มีข้อกำหนดอายุ สามารถทำได้ไม่ว่าผู้ป่วยอายุเท่าใดก็ตาม
ข้อห้ามของการทำหน้าอก
ในบางกรณี การทำหน้าอกมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้สูง และไม่คุ้มกันเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ ผู้ที่มีอาการติดเชื้อบริเวณใด ๆ ของร่างกาย ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือเคยมีประวัติป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ยังไม่ได้รับการรักษาจนหายดี และหญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจะไม่แนะนำให้รับการเสริมหน้าอก เนื่องจากกระบวนการผ่าตัดที่ใช้อาจมีผลต่อการรักษาอาการติดเชื้อหรือโรคมะเร็ง และเป็นข้อคำนึงด้านความปลอดภัยของหญิงกำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร นอกจากนี้ ภาวะเหล่านี้ยังส่งผลถึงการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดด้วย สำหรับผู้ป่วยเหล่านี้ การผ่าตัดเสริมหน้าอกจึงทำได้ในกรณีที่เป็นการรักษาตามคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น
ข้อควรระวังของการทำหน้าอก
การทำหน้าอกอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น ผู้ที่ต้องการเสริมหน้าอกที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ตนเอง
- ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ รวมถึงการรับประทานยาที่ทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลงด้วย
- มีภาวะที่ส่งผลต่อการรักษาแผลหรือกระบวนการหยุดเลือดของร่างกาย
- ภาวะที่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อที่หน้าอกน้อยลง
- ต้องทำเคมีบำบัดหรือหรือรังสีบำบัดภายหลังจากการเสริมหน้าอก
- มีภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น ผู้ป่วยที่คิดว่าตนเองมีรูปร่างผิดปกติ มีโรคการกินผิดปกติ มีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือภาวะสุขภาพทางจิตทั้งหลาย ควรได้รับการรักษาให้หายดีหรือมีอาการทรงตัวก่อนเข้ารับศัลยกรรมเสริมหน้าอก
ประเภทของการทำหน้าอก
การทำหน้าอกมีหลายประเภท แบ่งตามวัสดุที่นิยมใช้ใส่เข้าไปเสริมในหน้าอกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ การใช้ถุงซิลิโคน และการใช้ถุงน้ำเกลือซึ่งมีใช้น้อยกว่า โดยแพทย์อาจพูดคุยแนะนำถึงรูปร่างและประเภทของการเสริมเต้านมที่เหมาะสมกับแต่ละคน ซึ่งแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกันไป
การใช้ถุงซิลิโคนเจล เป็นการเสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคนที่ภายในประกอบด้วยซิลิโคนเจล มีหลายขนาดให้เลือก และมีทั้งพื้นผิวเรียบและผิวทราย ซิลิโคนที่ใช้อาจเป็นชนิดอ่อนนุ่มหรือชนิดแข็งก็ได้ โดยภายในมีการเติมเจลซิลิโคนชนิดหนาแน่นไว้ นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีถุงซิลิโคนชนิดที่เคลือบด้วยยางโพลียูรีเธนด้วย
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเจลนี้อนุญาตให้ใช้ในหญิงอายุ 22 ปีขึ้นไป หรืออายุเท่าใดก็ได้กรณีที่ผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมแทนเต้านมที่ถูกตัดเท่านั้น
ข้อดีของซิลิโคนเจลคือมีโอกาสเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้น้อยกว่าการใช้ถุงน้ำเกลือ และหากเป็นชนิดอ่อนนุ่มก็จะให้ความรู้สึกเหมือนหน้าอกธรรมชาติ ส่วนซิลิโคนชนิดที่เคลือบด้วยยางโพลียูรีเธนนั้นมีการอ้างถึงคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดรัดรอบเต้านมเทียมและการเคลื่อนที่ของซิลิโคนด้วย
ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกัน ถุงเจลซิลิโคนแบบอ่อนนุ่มที่เกิดฉีกขาด อาจส่งผลให้ซิลิโคนแพร่กระจายไปยังเต้านม ซึ่งจะตรวจเจอได้จากการสแกนเต้านมเท่านั้น และจำเป็นต้องผ่าตัดเอาซิลิโคนที่เสริมหน้าอกออกมา ปัญหานี้สามารถหลีกเลี่ยงด้วยการใช้ซิลิโคนชนิดหนาแน่นแทน แต่ซิลิโคนชนิดนี้อาจให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนซิลิโคนแบบเคลือบยางโพลียูรีเธนก็มีข้อเสียที่อาจไปทำปฏิกิริยากับผิวหนังได้ชั่วคราวเช่นกัน
การใช้ถุงน้ำเกลือ เป็นถุงซิลิโคนเหมือนประเภทแรก แต่ภายในเติมด้วยสารละลายน้ำเกลือแทน อาจมีการเติมไว้ก่อนผ่าตัด หรือเติมเข้าไปในระหว่างการผ่าตัดก็ได้ มีหลายขนาดให้เลือกและมีทั้งเปลือกซิลิโคนแบบเรียบหรือมีพื้นผิว การเสริมหน้าอกด้วยถุงน้ำเกลือนี้ทำได้เฉพาะในผู้หญิงที่อายุ 18 ปีขึ้นไป แต่หากเป็นการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ตัดเต้านมไปก็สามารถทำเมื่ออายุเท่าใดก็ได้
การเสริมหน้าอกด้วยถุงน้ำเกลือมีข้อดี คือ หากเต้านมที่เสริมฉีกขาด น้ำเกลือภายในจะค่อย ๆ ถูกร่างกายดูดซึมไปหรือขับออกจากร่างกาย จึงทำให้ปลอดภัยต่อร่างกาย ส่วนข้อเสียของการใช้ถุงน้ำเกลือ คือเรื่องความคงทน ที่อาจฉีกขาดได้เร็วกว่าถุงเจลซิลิโคน เพราะถุงน้ำเกลือจะแฟบลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป และยังเสี่ยงต่อการเกิดรอยเหี่ยวย่น
ขั้นตอนการทำหน้าอก
การเตรียมตัว
ศัลยแพทย์อาจส่งตรวจสแกนแมมโมแกรมหรือเอกซเรย์เต้านมก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอกเพื่อตรวจดูว่าเต้านมมีความผิดปกติหรือไม่ และยังเป็นการช่วยให้เห็นภาพของเนื้อเยื่อเต้านมของคนไข้ก่อนการผ่าตัดจริง นอกจากนี้อาจมีการพูดคุยอธิบายเกี่ยวกับการผ่าตัด วัสดุที่ใช้เสริมหน้าอก เวลาโดยประมาณที่ใช้ รวมทั้งการรักษาที่จะใช้หากมีผลข้างเคียงเป็นอาการบาดเจ็บหรือคลื่นไส้ตามมา เป็นต้น
ในคืนก่อนการผ่าตัดเสริมหน้าอก มีข้อปฏิบัติ คือ ห้ามรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำหลังผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรเตรียมเสื้อผ้าและยกทรงหลวม ๆ ที่ไม่มีโครงเพื่อใช้ใส่หลังการผ่าตัด และหากต้องการกลับบ้านในวันเดียวกันก็ควรมีผู้ที่คอยดูแลเพื่อความปลอดภัย
การผ่าตัด
หลังจากแพทย์ให้ยาระงับความรู้สึกและรอจนยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นบริเวณใต้เต้านม ข้อพับใต้รักแร้ รอบ ๆ หัวนม หรือตลอดแนวแผลเป็นจากการผ่าตัดเต้านม (กรณีที่ผ่าตัดเสริมเต้านมให้ผู้ป่วยที่ถูกตัดเต้านมออกไป)
การเลือกตำแหน่งของการผ่าตัดนี้สามารถส่งผลถึงลักษณะการเกิดรอยแผลเป็นและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก ตำแหน่งที่นิยมผ่ากันมากที่สุดคือบริเวณใต้เต้านม เนื่องจากผิวหนังส่วนนี้จะมีความย่นเป็นปกติ แต่รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นอาจเห็นได้ชัดกว่าบริเวณอื่นเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอายุน้อยที่ผอมและยังไม่เคยมีบุตรมาก่อน
การผ่าตัดที่บริเวณใต้ข้อพับรักแร้จะช่วยเลี่ยงการเกิดแผลเป็นบริเวณรอบเต้านม และไปมีแผลเป็นที่ใต้รักแร้แทน ส่วนการผ่าตัดรอบ ๆ หัวนมนั้นเป็นตำแหน่งที่อาจส่งผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการชาหรือการรับความรู้สึกของหัวนมลดลงได้ ทั้งนี้คนไข้ควรพูดคุยปรึกษาถึงข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมของการผ่าตัดใส่ถุงซิลิโคนแต่ละตำแหน่งที่ยังต้องขึ้นอยู่กับร่างกายของคนไข้ ประเภทและขนาดของถุงซิลิโคนด้วย
สำหรับการใส่ถุงซิลิโคน สามารถใส่ได้ 2 ตำแหน่ง คือ ด้านหลังชั้นกล้ามเนื้อหน้าอก ซึ่งเป็นตำแหน่งตามธรรมชาติที่สุด ช่วยให้รู้สึกสบายหลังการผ่าตัดมากกว่า และไม่เป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อหน้าอก อีกตำแหน่งที่ทำได้คือหน้าชั้นกล้ามเนื้อหน้าอกหรือใต้เนื้อเยื่อหน้าอก การใส่ซิลิโคนตำแหน่งนี้จะช่วยปกป้องเนื้อเยื่อและลดความเสี่ยงต่อการกระเพื่อมและการเกิดพังผืดรัดรอบถุงซิลิโคนเจลได้
ถุงซิลิโคนเสริมหน้าอกประเภทเจล จะมีเจลซิลิโคนอยู่ภายในก่อนแล้ว สามารถใส่เข้าไปได้ทันที แต่หากเป็นการเสริมด้วยถุงน้ำเกลือ อาจมีการเติมน้ำเกลือไว้ก่อนหรือเติมขณะผ่าตัดก็ได้ โดยแพทย์จะสอดเปลือกซิลิโคนเข้าไปแล้วจึงเติมน้ำเกลือเข้าไปตามขนาดที่คนไข้ต้องการ
เมื่อใส่ถุงซิลิโคนเรียบร้อยจึงตามด้วยการเย็บแผลผ่าตัด ก่อนปิดแผลอาจทำการวางท่อระบายผ่านผิวหนังไว้เพื่อช่วยป้องกันการสะสมของเลือดหรือของเหลว ซึ่งท่อระบายนี้จะถูกนำออกไปในการนัดตรวจหลังการผ่าตัดครั้งต่อไป
การพักฟื้นหลังผ่าตัด
หลังการผ่าตัดจะเป็นการพักฟื้นและเฝ้าดูอาการของผู้ป่วย ระหว่างนี้อาจใช้ผ้าก๊อซพันไว้ที่หน้าอกหรือให้ใส่เสื้อยกทรงสำหรับใส่หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก การผ่าตัดเสริมเต้านมมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป โดยอาจทำให้มีอาการปวด บวม แผลฟกช้ำ และคงอยู่เป็นเดือน แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังอาจตามมาด้วยแผลเป็นซึ่งเป็นธรรมดาของการผ่าตัด แผลเป็นเหล่านี้สามารถจางลงเป็นเส้นบางไปตามระยะเวลา แต่แผลเป็นที่เกิดขึ้นอาจมีลักษณะเด่นชัดกว่าในผู้ที่มีผิวคล้ำ
ก่อนกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน แพทย์อาจสั่งจ่ายยาสำหรับบรรเทาอาการปวดและคลื่นไส้ และอธิบายวิธีดูแลรักษาแผลด้วยตนเอง ทั้งนี้ หากต่อมามีอาการรุนแรง ได้แก่ เลือดไหล มีไข้ ตัวร้อน เต้านมแดง หรืออาการของการติดเชื้ออื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ที่ผ่าตัดทราบทันที
ในช่วงพักฟื้น ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องใส่เสื้อชั้นในสำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอก ผ้าพันหน้าอกหรือยกทรงสำหรับออกกำลังกายเพื่อให้รองรับแผลผ่าตัดไว้ เป็นไปได้ว่าจะสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงทั้งหลายที่จะส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตสูงขึ้น เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
หากมีการใส่ท่อระบายก้อนเลือดหรือของเหลว แพทย์จะนำออกให้ 1-2 สัปดาห์หลังจากการผ่าตัด และส่วนใหญ่มักกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ใน 6 สัปดาห์ จนผ่านไปสัก 2-3 เดือน หน้าอกจะเริ่มดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ถึงระยะนี้จึงสามารถหยุดใส่ยกทรงรองรับเต้านม
ผู้ที่เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเจลนั้นแนะนำให้ตรวจ MRI เพื่อดูว่ามีการฉีกขาดของซิลิโคนหรือไม่หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอกเป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นจึงตรวจเป็นประจำทุก ๆ 2 ปี นอกจากนี้ยังควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมอย่างสม่ำเสมอ และแจ้งให้ผู้ที่ตรวจทราบถึงการทำศัลยกรรมหน้าอก เนื่องจากถุงซิลิโคนอาจทำให้มองเห็นเนื้อเยื่อเต้านมได้ยากหากใช้การตรวจแมมโมแกรมเพียงอย่างเดียว จึงต้องใช้การตรวจโดยวิธีอื่นด้วย
ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก
การผ่าตัดเสริมเต้านมที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้ต้องรักษาหรือมีการผ่าตัดเพิ่มเติม ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้มีดังนี้
- มีเลือดสะสมบริเวณแผลผ่าตัดจนทำให้บวมและเจ็บปวด มักเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดไม่นาน หรืออาจเกิดได้หากเต้านมได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ก้อนเลือดสะสมที่มีขนาดใหญ่จนร่างกายไม่สามารถดูดซึมกลับได้จะต้องรับการรักษาด้วยการใส่ท่อระบายเลือด
- มีของเหลวสะสมรอบ ๆ ซิลิโคนเสริม อาจส่งผลให้มีอาการบวม เจ็บ และฟกช้ำ ของเหลวก้อนเล็กอาจถูกร่างกายดูดซึม แต่หากมีขนาดใหญ่แพทย์จำเป็นต้องใช้ท่อระบายออก
- เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อเต้านมหรือซิลิโคนเสริมเต้านมเนื่องจากการผ่าตัด
- เกิดการติดเชื้อ กรณีที่แผลผ่าตัดสัมผัสกับแบคทีเรียหรือเชื้อรา โดยจะสามารถแสดงอาการติดเชื้อได้ตั้งแต่ในวันแรก ๆ ไปจนถึงเป็นสัปดาห์ ทำให้มีอาการอักเสบ ระคายเคือง เจ็บ บวมแดง เป็นไข้ หรือร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งหากคนไข้ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะก็อาจต้องนำเอาซิลิโคนเสริมหน้าอกออก
- อาการเจ็บหน้าอกบริเวณหัวนมหรือเต้านม
- อาการแดงหรือฟกช้ำจากการมีเลือดออกระหว่างผ่าตัดที่อาจทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงได้ชั่วคราว
- แผลผ่าตัดหายช้า
- ต่อมน้ำเหลืองบวมโต
- ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ เต้านมอาจตาย เนื่องจากการติดเชื้อ การใช้สเตียรอยด์ในการผ่าตัด การสูบบุหรี่ การทำเคมีบำบัด การรักษาด้วยรังสี และการบำบัดด้วยความร้อนหรือความเย็นจัด
- มีความรู้สึกที่หัวนมหรือเต้านมเพิ่มขึ้นหรือลดลง อาจเกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวร และอาจส่งผลต่อการตอบสนองทางเพศหรือการให้นมบุตร ทำให้ไม่สามารถให้นมหรือมีผลิตน้ำนมได้น้อยลง
- เต้านมหลังการผ่าตัดอาจมีขนาด รูปร่าง หรืออยู่ในระดับที่ไม่เท่ากัน
- คนไข้หรือศัลยแพทย์อาจไม่พอใจกับรูปร่างหรือขนาดของหน้าอกใหม่หลังการเสริม
- ผิวหนังบริเวณเต้านมบางและเหี่ยวย่นลง
- เต้านมหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติจากอายุที่มากขึ้น การตั้งครรภ์ หรือมีน้ำหนักตัวลดลง
- สามารถสัมผัสหรือมองเห็นรอยย่นของซิลิโคนเสริมหน้าอกได้ผ่านผิวหนัง
- ผิวหนังฉีกขาดและเห็นซิลิโคนโผล่ออกมา
- ผนังหน้าอกหรือกระดูกซี่โครงด้านใต้ผิดรูป
- มีก้อนแข็งใต้ผิวหนังบริเวณรอบเต้านมเสริม ซึ่งในการตรวจมะเร็งเต้านมอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นมะเร็งและนำไปสู่การผ่าตัดเพิ่มเติมได้
- เกิดผังผืดซึ่งเกิดจากเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ มารัดถุงซิลิโคน ส่งผลให้หน้าอกแข็งและแน่นหน้าอก
- ระหว่างผ่าตัดหรือหลังผ่าตัด ซิลิโคนเสริมหน้าอกอาจเคลื่อนที่ไปอยู่ผิดตำแหน่ง ทั้งนี้อาจมีสาเหตุจากแรงโน้มถ่วง การได้รับการกระทบกระเทือน หรือเกิดจากเนื้อเยื่อผังผืดที่มารัด
- ถุงน้ำเกลือแฟบจนรั่วซึม มักรั่วจากลิ้นปิดหรือรอยฉีกที่เปลือกซิลโคนชั้นนอก ทำให้ถุงน้ำเกลือบางส่วนหรือทั้งหมดแฟบลงได้
- เกิดรอยฉีกขาดหรือหลุมที่ถุงซิลิโคนชั้นนอก
การผ่าตัดเพิ่มเติม
ซิลิโคนเสริมหน้าอกไม่สามารถอยู่ไปได้ตลอดชีวิต ยิ่งผ่าตัดเสริมหน้าอกมานานเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนมาก และอาจต้องมีการผ่าตัดเพิ่มเติมเพื่อรักษาภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดเพิ่มเติมที่ศัลยแพทย์อาจนำมาใช้มีดังนี้
- การนำเอาซิลิโคนเสริมหน้าอกออก โดยอาจใส่หรือไม่ใส่กลับเข้าดังเดิม
- การนำเอาเนื้อเยื่อแผลเป็นรอบ ๆ ซิลิโคนออก
- การผ่าตัดเพื่อนำเอาแผลเป็นที่มากเกินออก
- การใส่เข็มหรือท่อผ่านผิวหนังเพื่อระบายเลือด
- การเปิดแผลผ่าตัดออกอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของซิลิโคน
- การตัดก้อนซีสต์ด้วยการสอดเข็มผ่านผิวหนังหรือการผ่าผิวหนังเพื่อนำเอาก้อนเนื้อออก
อ่านเรื่องราวสาระดีๆต่อได้ที่..http://nationalbba.com/