ประวัติ สโมสร ทีม อาร์เซนอล Arsenal ฉายาปืนใหญ่แห่งลอนดอน

nationalbb กีฬา ฟุตบอล ผลบอล วิเคราะห์บอล ทีเด็ดบอล , , ,

ประวัติสโมสรทีมอาร์เซนอล

  • ชื่อเต็ม : Arsenal Football Club
  • ฉายา : The Gunners ( ไอ้ปืนใหญ่ )
  • ก่อตั้ง : ค.ศ. 1886
  • สนาม : เอมิเรตส์สเตเดียม ( ความจุ: 60,355 คน )
  • ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน
  • เจ้าของสโมสร : บริษัท อาร์เซนอล โฮลดิงส์
  • ผู้จัดการ : อาร์แซน เวนเกอร์

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล (หรือรู้จักกันดีในชื่อ “The Gunners” หรือ “ไอ้ปืนใหญ่”) เป็นทีมจากฮอลโลเวย์ ย่านลอนดอนเหนือ เป็นสโมสรฟุตบอลที่เล่นในเอฟเอพรีเมียร์ลีก และเป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ

มากที่สุดแห่งหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ โดยก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1886 ครองแชมป์ดิวิชั่น 1 รวม 13 ครั้งและเอฟเอคัพ 10 สมัย มีสนามเหย้าปัจจุบันคือ เอมิเรตส์สเตเดียม โดยย้ายจากสนามเดิมอาร์เซนอลสเตเดียม ในย่านไฮบิวรี่

เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 สำหรับสถิติการเล่น สโมสรอาร์เซนอลยังเป็นสโมสรเดียวในพรีเมียร์ลีกที่ไม่เคยแพ้ตลอดฤดูกาล

สีประจำสโมสรคือสีแดง-ขาว ปัจจุบันอาร์เซนอลเป็นสโมสรหนึ่งในกลุ่มจี-14

อาร์เซนอลมีกลุ่มแฟนบอลที่ให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมากทั่วโลก โดยมีคู่ปรับสำคัญหลายทีม ไม่ว่าจะเป็นคู่ปรับร่วมเมืองที่อยู่ไม่ไกลอย่างทอตแนมฮ็อตสเปอร์เมื่อใดที่ทั้งสองทีมมาเจอกันนั้นก็จะเป็นคราวที่สะกดคนดู

ทั้งลอนดอนเหนือไว้ที่สนามได้เลย อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในอังกฤษ (มีทรัพย์สินกว่า 600 ล้านปอนด์ในปี 2007)

 

ประวัติสโมสร

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลเริ่มต้นขึ้น เมื่อกลุ่มคนงานของโรงงานผลิตอาวุธรอยัลอาร์เซนอลในแขวงวูลิช กรุงลอนดอน ก่อตั้งทีมฟุตบอลของตนเองขึ้นมาเมื่อปลายปี ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์ การแข่งขันแรกของ

ทีมคือเกมที่สามารถเก็บชัยชนะเหนือทีมอีสเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6-0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1886 หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น รอยัลอาร์เซนอล และยังคงแข่งขันในเกมอุ่นเครื่องและรายการท้องถิ่นต่อไป จากนั้น

ได้ก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพแล้วหันมาใช้ชื่อ วูลิชอาร์เซนอลในปี 1891 สโมสรแห่งนี้ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกเป็นครั้งแรกในปี 1893 ในดิวิชั่น 2 จากนั้นในปี 1904 ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม ในทางภูมิศาสตร์นั้นจะเห็นว่าสโมสรแห่งนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเกินไป ส่งผลกระทบให้จำนวนผู้ชมมีน้อยกว่าสโมสรอื่นจนกระทั่งทีมต้องประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนนำไปสู่การยุบทีมในปี 1910 เมื่อ

เฮนรี นอร์ริสได้เข้ามาเทคโอเวอร์ นอร์ริสพยายามมองหาแนวทางที่จะย้ายที่ตั้งของสโมสรไปอยู่ที่อื่นจนกระทั่งในปี 1913 หลังจากที่ตกชั้นดิวิชั่น 1 มาอยู่ดิวิชั่น 2 เหมือนเดิมนั้น อาร์เซนอลก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อาร์เซนอลสเต

เดียมในย่านไฮบิวรี่ บริเวณลอนดอนเหนือ ในปีต่อมา สโมสรได้ตัดสินใจตัดคำว่า “วูลิช” ออกจากชื่อสโมสรจนเหลือเพียง อาร์เซนอล เท่าที่เห็นในปัจจุบัน หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ลีกดิวิชั่น 1 ก็เพิ่มจำนวนทีม

เป็น 22 ทีม อาร์เซนอลได้อันดับ 5 ของดิวิชั่น 2 ในปี 1919 แต่ถึงกระนั้นก็ได้รับเลือกให้กลับขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 อีกครั้งหนึ่ง และอาร์เซนอลก็ไม่เคยถูกลดชั้นหรือตกชั้นเลยนับตั้งแต่นั้นมา ดูบอลออนไลน์

ปาทริก วิเอรา กัปตันทีมอาร์เซนอลชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2003-04 นักเตะอาร์เซนอลและแฟนบอลร่วมกันฉลองแชมป์ลีกเมื่อปี ค.ศ. 2004 บนขบวนรถบัสในปี 1925 อาร์เซนอลได้ว่าจ้างให้เฮอร์เบิร์ต แชป

แมนเป็นผู้จัดการทีม แชปแมนเคยพาสโมสรฟุตบอลฮัดเดอร์สฟิลด์ทาว์นคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัยคือฤดูกาล 1923-24 และ 1924-25 ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมอาร์เซนอลนี้ และแชปแมนคือคนแรกที่พา

อาร์เซนอลก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความสำเร็จยุคแรก เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและแทคติคใหม่ทั้งหมดพร้อมทั้งซื้อนักเตะระดับแนวหน้ามาร่วมทีมไม่ว่าจะเป็นอเล็กซ์ เจมส์และคลิฟฟ์ บานติน ทำให้อาร์เซนอลก้าวสู่ความ

ยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษได้ในช่วงทศวรรษที่ 1930 อาร์เซนอลคว้าแชมป์รายการใหญ่ๆได้เป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของแชปแมน โดยสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ฤดูกาล 1929-30 และแชมป์ลีก 2 สมัยคือ

ฤดูกาล 1930-31 และ 1932-33 นอกจากนั้น แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานีรถไฟใต้ดิน “อาร์เซนอล” อันเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวที่

ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอลโดยเฉพาะ ทีเด็ดบอล

น่าเสียดายที่แชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมเมื่อต้นปี 1934 แต่หลังจากนั้น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน ที่เข้ามารับตำแหน่งก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีก

3 สมัย (ฤดูกาล 1933-34, 1934-35 และ 1937-38) และเอฟเอคัพ 1 สมัย (1935-36) อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อยๆในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 การแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุก

รายการในอังกฤษต้องยุติลง

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอม วิทเทคเกอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งของอัลลิสัน

ได้เข้ามาบริหารทีม อาร์เซนอลจึงกลับมาประสบความสำเร็จได้อีก 2 ครั้งคือฤดูกาล 1947-48 และ 1952-53 ที่ได้แชมป์ลีก และ 1949-50

ที่ได้แชมป์เอฟเอคัพ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น โชคก็เหมือนจะไม่เข้าข้างอาร์เซนอลเท่าไรนัก สโมสรไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเตะชุดเดียวกับที่เคยอยู่ในทีมช่วงทศวรรษ 1930 ให้กลับเข้าสู่ทีมได้ ในช่วง

ทศวรรษที่ 1950 และ 1960 นั้น อาร์เซนอลกลายเป็นทีมระดับธรรมดาๆที่ไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรได้เลย แม้ แต่บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมนั้นก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่

สโมสรได้เลยในช่วงปี 1962-1966 ที่เข้ามาคุมทีม

อาร์เซนอลเริ่มกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหนึ่งหลังจากได้ว่าจ้างให้เบอร์ตี้ มี นักกายภาพบำบัดให้มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1966 แบบไม่มีใครคาดคิด อาร์เซนอลสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศลีกคัพได้ 2 สมัยแต่ก็

พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังสามารถคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ ฤดูกาล 1969-70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ตามมาด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรก นั่นคือแชมป์ลีกและเอฟเอคัพใน

ฤดูกาล 1970-71 แต่ในทศวรรษต่อมานั้น อาร์เซนอลทำได้แค่เพียงการเข้าไปใกล้ตำแหน่งแชมป์มากที่สุดแต่ก็แทบจะไม่สามารถคว้าแชมป์ได้เลย โดยได้รองแชมป์ลีกในฤดูกาล 1972-73 รองแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล

1971-72, 1977-78 และ 1979–80 และยังพ่ายแพ้ในเกมยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพรอบชิงชนะเลิศด้วยการดวลจุดโทษอีกด้วย สโมสรประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียวในช่วงนี้ก็คือการคว้าแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1978-79

ได้ด้วยการเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 3-2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญกันมากในเรื่องของความคลาสสิคของเกมนี้ แทงบอลออนไลน์

การกลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งของ จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะในฐานะผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลในปี 1986 ทำให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์ได้ 3 สมัย อาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในฤดูกาล 1986-87 ซึ่งเป็น

ฤดูกาลแรกที่แกรแฮมเข้ามาคุมทีม จากนั้นก็มาได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 1988-89 ด้วยการคว้าแชมป์จากประตูในนาทีสุดท้าของเกมที่พบกับลิเวอร์พูล จากนั้น อาร์เซนอลภายใต้การคุมทีมของแกรแฮมนั้นก็ได้แชมป์ลีกอีก

ในปี 1990-91 โดยแพ้ไปเพียงเกมเดียวเท่านั้น และสามารถคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992-93 และถ้วยยุโรปใบที่ 2 คือยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาล 1993-94 ได้ อย่างไรก็ตาม ชื่อ

เสียงของแกรแฮมก็กลายเป็นความเสื่อมเสียเมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนจาก Rune Hauge เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัว จากนั้น แกรแฮมก็โดนไล่ออกในปี 1995 และ บรูซ ริออช ก็เข้ามารับตำแหน่งแทน ซึ่ง

ได้คุมทีมอยู่เพียงฤดูกาลเดียวก่อนที่จะลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร

 

ตามลำดับเกียรติประวัติ

(ระดับประเทศ) ดิวิชั่น 1 และพรีเมียร์ลีก

  • ชนะเลิศ : 1930–31, 1932–33, 1933–34, 1934–35, 1937–38, 1947–48, 1952–53, 1970–71, 1988–89, 1990–91, 1997–98, 2001–02, 2003–04
  • รองชนะเลิศ : 1925–26, 1931–32, 1972–73, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2004–05

ดิวิชัน 2

  • รองชนะเลิศ : 1903–04

เอฟเอคัพ

  • ชนะเลิศ : 1929–30, 1935–36, 1949–50, 1970–71, 1978–79, 1992–93, 1997–98, 2001–02, 2002–03, 2004–05
  • รองชนะเลิศ : 1926–27, 1931–32, 1951–52, 1971–72, 1977–78, 1979–80, 2000–01

ลีกคัพ

  • ชนะเลิศ : 1986–87, 1992–93
  • รองชนะเลิศ : 1967–68, 1968–69, 1987–88, 2006–07

ชาริตีชิลด์และคอมมิวนิตีชิลด์

  • ชนะเลิศ : 1930, 1931, 1933, 1934, 1938, 1948, 1953, 1991 (แชมป์ร่วม), 1998, 1999, 2002, 2004
  • รองชนะเลิศ : 1935, 1936, 1979, 1989, 1993, 2003, 2005

(ระดับทวีปยุโรป) ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

  • รองชนะเลิศ : 2005–06

ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ

  • ชนะเลิศ : 1993–94
  • รองชนะเลิศ : 1979–80, 1994–95

อินเตอร์ซิตี้แฟร์คัพ

  • ชนะเลิศ : 1969–70

ยูฟ่าคัพ

  • รองชนะเลิศ : 1999–2000

ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ

  • รองชนะเลิศ : 1994

 

ขอบคุณที่มา : th.wikipedia.org

อ่านเรื่องราวสาระดีๆต่อได้ที่..http://nationalbba.com

You May Also Like..